ฟ้องหย่า มีทนายผู้เชี่ยวชาญ
ฟ้องหย่า มีทนายผู้เชี่ยวชาญ
การแก้เหตุฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1516 (1)
เรื่องของการฟ้องหย่า
โดยหลัก การหย่าโดยคำพิพากษาของศาล เป็นวิธีการหย่าเมื่อคู่สมรสไม่สามารถตกลงขอหย่าโดยความยินยอมได้ เหตุที่จะนำมาใช้ในการฟ้องหย่ามีกำหนดไว้ในมาตรา 1516 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีอยู่ 10 เหตุ เป็นเหตุที่ผู้ร่างคัดเลือกมาแล้วว่าจะต้องมีสาเหตุกระทบถึงชีวิตครอบครัวของคู่สมรส อย่าร้ายแรงไม่เป็นเพียงลิ้นกระทบฟันธรรมดาทั่วไป
เหตุหย่าที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมในครั้งนี้ตาม พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2550 ได้แก่ เหตุที่กำหนดไว้ในอนุมาตรา (1) ของมาตรา 1516 เป็นเหตุที่เกิดจากความผิดของคู่สมรสฝ่ายจำเลย ความผิดที่ว่านี้คือไม่ซื่อสัตย์ในประเวณีต่อคู่สมรสอีกฝ่าย กล่าวโดยรวมคือการเป็นชู้หรือมีชู้ (Adultery) ของสามมีหรือภรรยานั่นเองเป็นความผิดต่อระบบผัวเดียวเมียเดียวในกฎหมายครอบครัวไทย
วิวัฒนาการของเหตุฟ้องหย่าที่เกิดจากการผิดประเวณีของสามีภริยาที่กฎหมายนำมาบัญญัติเป็นเหตุฟ้องหย่า เริ่มต้นตั้งแต่การกำหนดในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ประกาศใช้เป็นครั้งแรก
เมื่อปี พ.ศ. 2478 โดยมาตรา 1500 บัญญัติไว้ว่า
“คดีฟ้องหย่านั้นถ้า
(1) “…ภริยามีชู้ สามีฟ้องหย่าได้ …”
มีข้อสังเกตว่าเหตุหย่าในอนุมาตรานี้ เฉพาะสามีเท่านั้นที่มีสิทธิฟ้องหย่าได้ ภริยาไม่มีสิทธิเดียวกันนี้ แม้สามีจะมีชู้ (หรือเป็นชู้) กับหญิงอื่นก็ตาม ความไม่เท่าเทียมกันในเหตุฟ้องหย่าเหตุนี้ ฝ่ายเรียกร้องสิทธิสตรีรู้สึกและต่อสู้มาโดยตลอด
ต่อมาเมื่อได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยในปี พ.ศ. 2517 ซึ่งมาตรา 28 วรรคสองกำหนดให้ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกันจึงทำให้ห้าปีต่อมาหลังจากการกำหนดเหตุฟ้องหย่าดังกล่าวจึงได้มีการแก้ไขปรับปรุงเหตุฟ้องหย่าในมาตรา 1516 ความว่า
“เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้
(1) ”…สามีอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา หรือภริยามีชู้ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้…”
การแก้ไขข้างต้นได้เปิดโอกาสให้ภริยามีสิทธิฟ้องหย่ามากขึ้นกว่าเดิมแต่ยังคงมีการแยกเหตุฟ้องหย่าของสามีและภริยาแตกต่างกัน กล่าวคือ หากภริยาร่วมประเวณีกับชายอื่นแม้แต่เพียงครั้งเดียว (มีชู้) ก็อาจถูกสามีฟ้องหย่าได้ แต่ฝ่ายสามีต้องมีพฤติการณ์ถึงขนาดอุปการะเลี้ยงดู หรือยกย่องหญิงอื่นอย่างเปิดเผยภรรยาจึงจะเกิดสิทธิในการฟ้อง
แต่การแก้ไขบรรพ 5 ต่อมาในปี พ.ศ. 2533 แม้จะยังมีกระแสเรียกร้องให้สิทธิหญิงเท่าเทียมกับชายแต่ก็ยังมิได้มีการแก้ไขปรับปรุงเหตุหย่าเป็นอย่างอื่น
จนกระทั่งมาถึงการแก้ไขกฎหมายครอบครัวครั้งล่าสุด ตาม พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2550 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2550 ได้แก้ไขเหตุฟ้องหย่าในมาตรา 1516 (1)ใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการมีสิทธิเท่าเทียมกันระหว่างชายกับหญิงที่ได้รับรองไว้ในวรรค 2 ของมาตรา 30 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 10) ในมาตา 1516 (1) บัญญัติว่า
“(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”
อาจสรุปกฎหมายใหม่ได้เพิ่มเติมเหตุฟ้องหย่าขึ้นมาใหม่ในครั้งนี้ 3 เรื่องใหญ่ด้วยกัน คือ
1) การอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันสามี หรือภรรยา
การยกย่อง ได้แก้การแสดงออกของสามีภริยาไม่ว่าจะโดยชัดแจ้ง เช่นจดทะเบียนสมรสและอยู่กินด้วยกันอย่างเปิดเผย (ฎ.3596/2546) หรือโดยปริยายให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าว่าผู้นั้นเป็นคู่สมรสของตน
สำหรับเหตุที่คู่สมรส “ยกย่อง” ผู้อื่นนี้อาจพิจารณาแยกต่างหากจาก “การอุปการะเลี้ยงดู” ได้ กล่าวคือ แม้สามีจะไม่ได้อุปการะเลี้ยงดูหญิงนั้นในทางทรัพย์สิน แต่ยกย่องหญิงนั้นเสมือนภรรยาโดยพฤติการณ์ที่เป็นที่รับรู้ของคนทั่วไปแล้วย่อมใช้เป็นเหตุฟ้องหย่าได้
เทียบกับการอุปการะเลี้ยงดูในฐานะภริยาน้อยอย่างลับๆก็ถือเป็นเหตุฟ้องหย่าในกรณี “การอุปการะเลี้ยงดู” โดยที่หญิงที่ได้รับการเลี้ยงดูหรือได้รับการยกย่องไม่จำเป็นต้องรู้ข้อเท็จจริงที่ว่าฝ่ายชายมีภรรยาอยู่แล้ว ไม่ถือเป็นเงื่อนไขในการอ้างเหตุฟ้องหย่าในกรณีนี้ กฎหมายมุ่งให้ยึดพฤติกรรมของสามีเป็นหลัก
กล่าวโดยสรุป เป็นการสนับสนุนระบบผัวเดียวเมียเดียวในกฎหมายครอบครัว คู่สมรสมีหน้าที่ต้องซื่อสัตย์และอุปการะซึ่งกันและ จะไปอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นเป็นบุคคลอื่นนอกจากสามีหรือภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของตนไม่ได้ ไม่ว่าจะเพศตรงข้ามหรือเพศเดียวกันก็ล้วนแล้วแต่เป็นการผิดประเวณีของคู่สมรสทั้งสิ้น
2) เป็นชู้ หรือมีชู้
ข้อความในกฎหมายเดิมเขียนไว้แต่เพียง “ภริยามีชู้” แต่ข้อความที่แก้ไขใหม่ได้เขียนเพิ่มเป็น “เป็นชู้หรือมีชู้” เนื่องจากต้องการให้การทำผิดศีลธรรมในเรื่อง “ชู้” เป็นความผิดทั้งสิ้นไม่ว่าคนกระทำจะเป็นชายหรือหญิง
การที่ภริยามีชู้ หมายถึง สมัครใจร่วมประเวณีกับชายอื่น แม้ร่วมเพียงครั้งเดียวและชายอื่นจะมีภริยาแล้วหรือไม่ก็ถือว่ามีชู้ ส่วนสามีหากร่วมประเวณีกับภรรยาของผู้อื่นย่อมถือว่าเป็นชู้ซึ่งเป็นเหตุฟ้องหย่า แต่หากพฤติกรรมเหล่านั้นเกิดจากความไม่สมัครใจ ถูกข่มขืนกระทำชำเรา หรือถูกทำอนาจาร จะเรียกว่ามีชู้ไม่ได้ รวมทั้งกรณีที่สามีหรือภรรยาอีกฝ่ายหนึ่งยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้คู่สมรสของตนมีชู้หรือเป็นชู้จะอ้างเหตุดังกล่าวมาฟ้องหย่าอีกฝ่ายไม่ได้
3) สามี หรือภรรยาร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ
คำว่า ”ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ” เป็นกรณีที่สามีหรือภรรยาไปร่วมประเวณีกับบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่คู่สมรสของตน ซึ่งจะต่างจากการเป็นชู้ หรือมีชู้ตรงที่ การร่วมประเวณีกับผู้อื่นนี้ไม่จำเป็นต้องมีข้อเท็จจริงที่แสดงถึงการร่วมประเวณีกับชายหรือหญิงคนเดิม แค่มีพฤติกรรมการร่วมประเวณีกับชายหรือหญิงอื่นที่ไม่ใช่คู่สมรสอยู่เสมอๆ เป็นประจำก็เพียงพอที่จะใช้เป็นเหตุฟ้องหย่า
นอกจากจะแก้ไขเหตุฟ้องหย่าแล้ว ยังได้มีการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับ การกำหนดสิทธิเรียกร้องค่าทดแทน กรณีการฟ้องหย่าเนื่องจากคู่สมรสอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันสามีภริยาหรือสามี หรือเป็นชู้หรือมีชู้ ซึ่งเดิมกฎหมายเขียนไว้ว่า “เมื่อศาลพิพากษาให้หย่ากันเพราะเหตุสามีอุปการะหญิงอื่นหรือภริยามีชู้ ภริยาหรือสามีมีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากสามีหรือภริยาและจากหญิงอื่นหรือชู้ แล้วแต่กรณี ….”
แต่กฎหมายที่แก้ไขใหม่เปลี่ยนเป็น ”เมื่อศาลพิพากษาให้หย่ากันเพราะเหตุสามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดู หรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ ภริยาหรือสามีมีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากสามีหรือภริยา และจากผู้ซึ่งได้รับการอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่อง หรือผู้ซึ่งเป็นเหตุแห่งการหย่านั้น”
คำว่า “ผู้ซึ่งเป็นเหตุแห่งการหย่า” นี้ หมายถึงผู้ใดบ้าง ก็ต้องย้อนกลับไปอ่านข้างบนอีกที จะเห็นว่าหมายถึง ผู้ที่เป็นชู้กับสามีหรือภริยาของผู้อื่น (ในกรณีที่ศาลพิพากษาให้หย่าด้วยเหตุเป็นชู้ หรือมีชู้) หรือผู้ซึ่งร่วมประเวณีกับสามีหรือภริยาของผู้อื่น (กรณีศาลพิพากษาให้หย่าด้วยเหตุการร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ)
ในส่วนของกฎหมายที่แก้ไขมาใหม่นี้ยังคงมีปัญหาที่ต้องขบคิดต่อไปว่า ผู้ที่เข้ามาร่วมประเวณี เป็นชู้ หรือได้รับการอุปการะเลี้ยงดู หรือยกย่องเสมือนสามีหรือภรรยา ซึ่งเป็นเหตุแห่งการหย่านั้น จำเป็นที่จะต้องรู้ว่าตนเป็นเหตุแห่งการหย่าหรือไม่ จะถือเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ภริยาหรือสามีที่ศาลพิพากษาให้หย่ามีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากบุคคลดังกล่าวหรือไม่ ในส่วนนี้กฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่ได้กำหนดไว้ชัดเจน
กล่าวโดยสรุปแล้ว จากความคิดพื้นฐานที่ว่า ชาย-หญิง ควรได้รับการปฏิบัติในเรื่องต่างๆอย่างเท่าเทียมกัน นำมาสู่การแก้ไขพัฒนากฎหมายให้สอดคล้องกับทั้งความคิด ค่านิยม และพฤติกรรมของคนในสังคมการแก้ไขเหตุหย่าในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นี้ ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงการอนุวัฒน์ตามความเห็น มุมมอง และทัศนคติของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป







